ปี 2018 ช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำของทีมอินทรีเหล็ก


บทความลูกหนัง / วันอังคาร, พฤศจิกายน 27th, 2018

ปี 2018 ช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำของทีมอินทรีเหล็ก

บรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่มักปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระยะหลังๆผุดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อลูกยิงวอลเล่ย์ของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ลอยเข้าไปตุงตาข่ายเป็นประตูตีเสมอในนาทีสุดท้ายของเกมเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ทีมชาติฮอลแลนด์ ที่ค่อยๆกลับมาเปล่งประกายสดใสอีกครั้งสามารถสร้างผลงานอันน่าประทับใจได้ในสนาม เฟลตินส์ อารีน่า หลังจากที่เคยเอาชนะ เยอรมัน คู่ปรับสำคัญไปได้ขาดลอย 3-0 เมื่อราว 1 เดือนก่อนหน้านี้ เรื่องราวทั้งหมดอาจจะแตกต่างออกไปจากที่เมื่อ 5 นาทีก่อนหน้านั้น ทีมอินทรีเหล็ก กำลังจะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะในเกมนี้ แม้ 3 คะแนนที่ได้มาจะไม่ได้ช่วยให้พวกเขาหนีพ้นการตกชั้นจากรายการ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ควรจะเป็นแสงสว่างเล็กๆที่ช่วยนำทางให้ทีมผ่านพ้นช่วงปี 2018 อันมืดมิดไปได้ ซึ่งหากพวกเขาทำได้สำเร็จก็คงต้องยกความดีความชอบให้กับ ติโม แวร์เนอร์ และ เลรอย ซาเน่ 2 แนวรุกที่ช่วยกันยิงประตูได้ในนัดนี้

แต่แล้วเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงนาทีที่ 90 ในขณะที่ฝูงชนส่วนใหญ่กำลังเริ่มคิดถึงวิธีเดินทางกลับบ้าน ปราการหลังตัวเก่งจาก ลิเวอร์พูล ก็เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งหลังโชว์ลีลาไม่แพ้ศูนย์หน้าด้วยการหวดบอลผ่านมือ มานูเอล นอยเออร์ จนทำให้ภาพสะท้อนของความผิดหวังตลอดปีที่ผ่านมาย้อนกลับเข้าไปในห้วงความคิดของ โยอาคิม เลิฟ และเหล่ากองเชียร์เจ้าถิ่นในสนาม ตลอดทั้งปี 2018 เยอรมัน ไม่สามารถกลับมาอยู่ในทิศทางที่ควรจะเป็นได้เลย พวกเขาออกสตาร์ทปีด้วย 2 แมตช์กระชับมิตรกับทีมระดับหัวแถวโดยเป็นการเสมอ 1-1 กับ สเปน และพ่ายให้กับ บราซิล 1-0 ต่อด้วยเกมอุ่นเครื่องกับ ออสเตรีย และ ซาอุดิอาระเบีย ที่น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมในช่วงก่อนทำศึก เวิลด์ คัพ เพราะทีมเหล่านั้นไม่ได้แข็งแกร่งมากเกินจะมาบั่นทอนความมั่นใจของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้อ่อนปวกเปียกจนกลายเป็นเกมที่ไม่มีความหมาย

มันคือไอเดียของการแข่งขันที่จะมาช่วยเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้กับอดีตแชมป์โลกที่หมายมั่นปั้นมือจะป้องกันบัลลังก์ของตนเองเอาไว้ให้ได้ หลังจากที่ถูกชูให้เป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการนี้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคาดเอาไว้ เยอรมัน โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าผิดหวังในการพ่ายแพ้ให้กับ ออสเตรีย 2-1 ก่อนที่ทีมของ เลิฟ จะเอาชนะคู่ต่อสู้จากตะวันออกกลางได้แบบหืดจับ 2-1 โดยในเกมนี้ อิลคาย กุนโดกัน ก็ถูกแฟนบอลในบ้านตามโห่ตลอดทั้งเกมหลังเจ้าตัวและ เมซุต โอซิล เข้าพบ ตายยิป เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี และถ่ายภาพร่วมกัน

ช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำของทีมอินทรีเหล็ก

แม้จะดูเป็นผลงานที่ไม่ค่อยเข้าตามากนัก แต่แฟนบอลส่วนใหญ่ก็ยังคงเชื่อมั่นว่านี่คือ เยอรมัน ทีมแชมป์โลกที่อัดแน่นไปด้วยนักเตะฝีเท้าระดับคุณภาพที่มีทั้งประสบการณ์และดีกรีความสำเร็จอันล้นหลาม ในขณะที่ เลิฟ ก็แสดงความเชื่อมั่นว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆนักเตะของเขาก็พร้อมลงแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่ทุกคนรอคอย ตัดภาพไปที่ รัสเซีย แม้หลังการพ่ายแพ้ 1-0 ให้กับ เม็กซิโก ในนัดเปิดสนาม เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะคาดคิดว่าพวกเขาจะปิดฉากในรายการนี้ไปอย่างรวดเร็วและน่าผิดหวัง มันอาจเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการแข่งขันในแบบทัวร์นาเมนต์ที่มีโอกาสให้แก้ตัวไม่มากนัก แต่สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือภาพรวมของ เยอรมัน ในรายการนี้คือทั้งฝืดทั้งไร้พลังและใช้โอกาสที่มีไปอย่างสิ้นเปลือง

ในนัดถัดมากับ สวีเดน จากประตูชัยสุดดราม่าในช่วงท้ายเกมของ โทนี่ โครส ไม่พียงแต่จะช่วยต่อลมหายใจให้กับพวกเขา แต่มันควรจะเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ เยอรมัน ฮึดกลับมาเป็นทีมที่ใครๆต่างก็คุ้นเคย หรืออย่างน้อยก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้พวกเขาผ่านเข้าไปลุ้นต่อในรอบลึกๆ แต่พอหลังสิ้นสุดนกหวีดยาวในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม แฟนบอลอินทรีเหล็กทั่วโลกต่างตกอยู่ในอาการงงงวยกับผลงานของทีมรัก แม้พวกเขาจะพยายามสร้างสรรค์โอกาสมากมายซักเท่าไรแต่ก็ไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ โช ฮยอน-วู นายทวารเกาหลีใต้ ไปได้เลย ก่อนจะโดนหมัดเด็ดเสีย 2 ประตูให้กับคู่ต่อสู้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

หลายๆฝ่ายเริ่มมีการขุดคุ้ยไปถึงแทคติกและการจัดตัวผู้เล่นของ เลิฟ จนได้รับรู้ถึงปัญหาที่หมกเม็ดอยู่ในภายใน โดยมีประเด็นหลักเรื่องหนึ่งจากการไม่ลงรอยกันที่เกิดขึ้นภายในทีม ซึ่งเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆภายหลังการทวีตข้อความของ โอซิล ในช่วงเดือนกรกฎาคม ทีมยังดูมีปัญหาอื่นๆอีกภายในสนาม ผู้เล่นที่มากไปด้วยประสบการณ์คล้ายๆจะถึงจุดอิ่มตัวจากการเคลื่อนที่และปฏิกิริยาที่ดูจะช้ากว่าคู่แข่งอยู่หนึ่งก้าวเสมอ แนวรุกสายเลือดใหม่ที่แม้จะดูวูบวาบและเปี่ยมไปด้วยพละกำลังแต่ก็มีปัญหาเรื่องของความไม่แน่นอนและพึ่งพาไม่ได้เมื่อทีมตกอยู่ในสถานการณ์ที่บีบคั้น รวมถึง นอยเออร์ อดีตผู้รักษาประตูระดับท็อปของวงการก็ยังเรียกฟอร์มอันเหนียวหนึบกลับมาไม่ได้หลังพึ่งหายจากอาการบาดเจ็บยาว

หลังการตกรอบแรกที่ไม่สามารถจำกัดความสั้นๆอื่นใดได้นอกจากคำว่า “หายนะ” มันกลายเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จินตนาการไปว่า เลิฟ จะยังได้รับโอกาสให้คุมทีมต่อไปเมื่อมองถึงความผิดพลาดทั้งหมดทั้งมวลที่ได้ทำลงไป แม้ว่าเขาอาจจะเคยเสริมสร้างความเชื่อมั่นไว้ก่อนหน้านี้แล้วก็ตามกับ คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 2017 แต่หากทัวร์นาเมนต์อุ่นเครื่องในปีก่อนหน้านี้คือเวทีออดิชั่น ผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้ดีหลายๆคนอย่างเช่น ซานโดร ว้ากเนอร์ ก็ควรจะถูกเรียกตัวเข้ามาเป็น 1 ใน 23 ขุนพลด้วย แต่สุดท้ายเจ้าตัวกลับพลาดโอกาสตีตั๋วไปลงเตะที่ รัสเซีย พร้อมกับเพื่อนๆจนทำให้เขาออกมาประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติในทันที

นั่นยังไม่รวมไปถึง ซาเน่ ผู้ที่สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลทั่วโลกมากที่สุดคนหนึ่ง ว่าเหตุใดนักเตะดีกรีแชมป์ พรีเมียร์ลีก พ่วงด้วยรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำซีซั่นถึงไม่มีรายชื่ออยู่ในทีมของ เลิฟ ที่จะลงแข่งขันในช่วงกลางปีที่ผ่านมา และจากผลงานของแนวรุกที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอันใดๆใน ฟุตบอลโลก 2018 การขาดหายไปของเขาก็ยิ่งตอกย้ำความผิดพลาดของ เยอรมัน มากขึ้นเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้ว เลิฟ กลับยังรักษาเก้าอี้ของตนเองเอาไว้ได้ โดยสิ่งสำคัญที่เขาต้องพยายามทำเป็นอันดับแรกคือการสะสางความวุ่นวายภายในทีม รวมถึงการตอบสนองความต้องการของทาง เดเอฟเบ และแฟนบอลส่วนใหญ่ที่ไม่หวังเพียงแต่จะเห็นการพัฒนารูปเกมให้ดียิ่งขึ้นแต่ยังเรียกร้องให้มีการคิดใหม่ทำใหม่ การเลือกนักเตะทีมชาติจะต้องไม่ได้มาเพราะชื่อเสียงเก่าๆรวมถึงการคาดหวังจะได้เห็นไอเดียใหม่ๆอีกด้วย

ช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำทีมอินทรีเหล็ก

ซึ่งหากมองกันตามเนื้อผ้า กุนซือวัย 58 ปี ก็พยายามปรับปรุงอย่างเต็มที่แล้ว เขาไม่เพียงแต่จะมอบโอกาสแก่ดาวเตะสายเลือดใหม่อย่าง แวร์เนอร์, ลีออน โกเรทซ์ก้า, แซร์จ นาบรี้, ธิโล เคห์เรอร์, ไค ฮาแวร์ทซ์ รวมถึง ซาเน่ เพิ่มมากขึ้น เขายังพยายามปรับเปลี่ยนแทคติกให้สอดคล้องกับบรรดานักเตะเหล่านั้น แม้ผลลัพธ์ที่ออกมาจะยังคงน่าผิดหวังแต่อย่างน้อยรูปแบบการเล่นของทีมก็ยังคงดูมีอนาคตอยู่ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอล เยอรมัน ส่วนใหญ่จะยังรู้สึกไม่พอใจกับผลงานของทีม แต่แนวทางรูปแบบใหม่ของ เลิฟ ก็ยังพอจะช่วยลดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลงไปได้บ้างและอาจซื้อเวลาให้กับเขาได้อีกซักระยะ เขากำลังอยู่บนเส้นทางเดียวกับที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต เคยเริ่มต้นเอาไว้เมื่อก่อนหน้านั้นกับ อังกฤษ จากความพยายามที่จะรื้อแนวทางเก่าๆเพื่อเปิดทางให้กับกลุ่มผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีความกระตือรือร้นเข้ามาแทนที่

ดังนั้นสิ่งที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตก็คือ การอำลาทีมของผู้เล่นบิ๊กเนมบางคนในขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็จะค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา เราคงจะได้เห็นการปรากฏตัวของ เลิฟ ตามสนามแข่งขันเกม บุนเดสลีกา ในแต่ละมุมของประเทศ เพื่อเฝ้าติดตามและค้นหาช้างเผือกรายใหม่ ในเวลานี้ เลิฟ และทีมงานของเขาจำเป็นจะต้องเริ่มต้นวางแผนการกอบกู้ชื่อเสียง แต่บางทีงานของพวกเขาก็อาจจะไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิดเท่าไรนัก เนื่องจากใน บุนเดสลีกา ล้วนเต็มไปด้วยนักเตะดาวรุ่งที่มักจะได้รับโอกาสให้ลงสนามไปสร้างชื่อให้กับตนเอง ซึ่งนี่คือข้อได้เปรียบของเขาที่มีเหนือ เซาธ์เกต
หลังเกมกับ ฮอลแลนด์ เลิฟ ได้กล่าวเอาไว้ว่า ยิ่งเขารู้สึกผิดหวังจากความล้มเหลวที่ รัสเซีย มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรับรู้ได้ว่าการจะกลับมาประสบความสำเร็จเหมือนกับที่ บราซิล เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า ซึ่งก็เป็นอะไรที่เมคเซ้นส์พอสมควร เพราะหากเราลองติดตามเหล่าฮีโร่จาก เวิลด์ คัพ ที่ผ่านมา สิ่งที่ดูเข้าท่าที่สุดของพวกเขาก็คือการก้าวลงจากบัลลังก์ในฐานะตำนาน เพราะหากยังคงเลือกเดินหน้าต่อไปเต็มที่ก็คงทำได้แค่เสมอตัว และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมากับทั้งตัวนักเตะและผจก.ทีมก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก แม้ภาพรวมภายในปี 2018 ของ เลิฟ จะดูเลวร้ายซักเพียงใด แต่อย่างน้อยเขาก็ควรได้รับเครดิตในการเลือกเส้นทางที่ยากลำบาก จากที่เขาไม่ยอมสละเรือไปตั้งแต่ปี 2014 หรือแม้แต่ในเวลานี้ก็ตาม

ข้อดีอย่างหนึ่งที่ เลิฟ พอจะได้รับจากปี 2018 ก็คือเขายังมีโอกาสที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เขายังมีผู้เล่นมากมายไว้เป็นตัวเลือกและยังได้รับการหนุนหลังจาก เดเอฟเบ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนับจากนี้ก็คือเขาต้องพยายามจะไม่หลุดโฟกัสไปจนกว่าจะได้ร่วมวงใน ยูโร 2020 และกาลเวลาก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า อินทรีเหล็ก จะกลับมาผงาดฟ้าได้อีกครั้งเมื่อไร?